WHAUP โตเกินคาด ปี66 โชว์กำไรปกติแตะ 1,587 ล้านบาท เพิ่ม 254% (YoY) บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลรวมทั้งปี 0.2525 บาทต่อหุ้น สยายปีกลงทุนพลังงานหมุนเวียน หนุนพอร์ตผลิตไฟฟ้าแตะ 1,000 MW
กรุงเทพฯ – บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) แจ้งผลการดำเนินงานปี 2566 โชว์รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ 4,228 ล้านบาท และกำไรปกติ 1,587 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ดเคาะ จ่ายปันรวมทั้งปี 0.2525 บาท/หุ้น จ่อขึ้น XD 25 เมษายน 2567 กำหนดจ่าย 15 พฤษภาคม 2567 ด้าน CEO "สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ" เร่งเดินหน้าสู่การขับเคลื่อนการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน หนุนพอร์ตการผลิตไฟฟ้าแตะ 1,000 MW ในปีนี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2567-2571) ที่ 30,000 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ไม่น้อยกว่า 50% ด้วยงบลงทุน 5 ปี 21,200 ล้านบาท
บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ("WHAUP") แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2566 โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 4,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 1,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% ในขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 1,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 259% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรปกติมีปัจจัยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า SPP ที่ค่า Ft ได้ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One ที่รับรู้ค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้น
นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ทั้งในประเทศและต่างประเทศในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 155 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2565 ปัจจัยหลักในประเทศมาจากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบ (Raw Water) และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Product) ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18% โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายพื้นที่การให้บริการ และปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ Duong River ในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 8 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรได้ในปี 2567 นี้
สำหรับในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศ 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในประเทศเวียดนาม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อรองรับการขยายการให้บริการน้ำทุกประเภทในโครงการใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนในธุรกิจน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆมาปรับใช้ เช่น การพัฒนา Smart Water Platform ด้วยการนำ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้ และยังมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในปี 2566 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 1,424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 200% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่า Ft ที่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้รับรู้กำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ในขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2566 บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Private PPA จากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มจำนวน 42 สัญญา จำนวนรวม 50 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีจำนวนสัญญาโครงการ Private PPA สะสมทั้งสิ้น 183 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 109 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 733 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ทั้งหมดภายในช่วงไตรมาส 1 ถึง ไตรมาส 2 นี้
สำหรับแผนกลยุทธ์ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในปี 2567 บริษัทฯ พร้อมเปิดโอกาสในด้านการลงทุนผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจพลังงานไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) รวมถึงหาโปรเจกต์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า
นอกจากนี้ จากแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามสัญญาแล้วจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทเป็น 1,000 เมกะวัตต์ คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 17% จากปีก่อน ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
จากแผนการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งทางด้านธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2567-2571) ที่ 30,000 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ข้างหน้าไว้ที่ 21,200 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตรารวม 0.2525 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.060 บาทต่อหุ้นที่บริษัทฯ ได้จ่ายไปแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีกในอัตรา 0.1925 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 เมษายน 2567 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนศักยภาพความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินที่มั่นคงและการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของบริษัทฯ
CEO WHAUP กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็น 'หุ้นยั่งยืน' ประจำปี 2566 และเป็นการได้รับการคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน 4 ปี ติดต่อกันจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมทั้งได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล Commended Sustainability Awards จากเวที SET Awards 2023 สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและธรรมาภิบาล (ESG)